fbpx

มือสั่น…อาการธรรมดาหรือสัญญาณโรคร้าย?

อาการสั่น (Tremor) อาจเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม หรือคิดว่าเป็นเพียงอาการชั่วคราวจากความเครียดหรือความเหนื่อยล้า อย่างไรก็ตาม ในทางการแพทย์ อาการสั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคทางสมองที่ร้ายแรง โดยเฉพาะ โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและสมองของมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ

นพ.พลากร เลิศศักดิ์วรกุล อายุรแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทและสมอง ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลหัวเฉียว อธิบายว่า

“โรคพาร์กินสันเป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองที่มีหน้าที่ผลิตสารโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อลดลงไปมากจนถึงระดับที่ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะเริ่มแสดงอาการผิดปกติ เช่น อาการสั่น เคลื่อนไหวช้าลง และกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง”

อาการสั่น

อาการสั่น: สัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคพาร์กินสัน

นพ.พลากร อธิบายเพิ่มเติมว่า

“ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักเริ่มมีอาการสั่นที่มือ แขน หรือขาข้างใดข้างหนึ่งก่อน โดยเฉพาะเวลานั่งพักหรือไม่ได้ใช้งาน แต่เมื่อขยับร่างกาย อาการสั่นอาจลดลง ซึ่งแตกต่างจากอาการสั่นที่เกิดจากความเครียดหรือความเหนื่อยล้า”

นอกจากนี้ ยังมีอาการอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่

  • • การเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia) ซึ่งทำให้การทำกิจวัตรประจำวันล่าช้าลง
  • • กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (Muscle Rigidity) ทำให้เคลื่อนไหวลำบากและรู้สึกเจ็บปวด
  • • การทรงตัวไม่ดี และเสี่ยงต่อการล้ม
  • • การเดินผิดปกติ เช่น เดินซอยเท้า หรือเท้าติดเวลาก้าวขา

นพ.พลากร กล่าวเสริมว่า

“นอกจากอาการทางร่างกายแล้ว ผู้ป่วยพาร์กินสันบางรายยังมีอาการที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต เช่น อาการนอนละเมอ พูดเสียงเบาลง หรือแม้แต่ท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานของระบบประสาทที่ผิดปกติ”

แนวทางการรักษาและการดูแลผู้ป่วย

โรคพาร์กินสันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้โดย

1. การใช้ยา

“ยา Levodopa (L-Dopa) ถือเป็นยาหลักในการรักษาโรคพาร์กินสัน เนื่องจากช่วยเพิ่มระดับโดปามีนในสมอง แต่การใช้ยานี้ในระยะยาวอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การเคลื่อนไหวผิดปกติ (Dyskinesia) แพทย์จึงต้องปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย” นพ.พลากร กล่าว

2. การทำกายภาพบำบัด

“การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยเสริมสร้างสมดุลของร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น”

3. การผ่าตัดกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation – DBS)

“สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาแล้วได้ผลไม่ดี หรือมีผลข้างเคียงจากยา การผ่าตัด DBS อาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยการฝังอิเล็กโทรดเข้าไปในสมองเพื่อช่วยควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งสามารถลดอาการสั่นและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ” นพ.พลากร กล่าว

บทสรุป

อาการสั่นอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่สำหรับผู้สูงวัย หรือผู้ที่มีอาการร่วมอื่นๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนของ โรคพาร์กินสัน ซึ่งเป็นโรคทางสมองที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

“หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเริ่มสังเกตเห็นอาการอื่นๆ ควบคู่กัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก เพราะการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถควบคุมอาการได้ดีขึ้น และลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต” นพ.พลากร กล่าวทิ้งท้าย


FAQs: มือสั่น…อาการธรรมดาหรือสัญญาณโรคร้าย?

Q1: อาการสั่นที่เกิดจากโรคพาร์กินสันแตกต่างจากอาการสั่นทั่วไปอย่างไร?

A1: อาการสั่นจากโรคพาร์กินสันมักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะพัก (Resting Tremor) เช่น มือสั่นขณะวางไว้บนตัก และจะดีขึ้นเมื่อขยับร่างกาย ต่างจากอาการสั่นทั่วไปที่มักเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานมือ (Action Tremor)

Q2: โรคพาร์กินสันเกิดจากอะไร?

A2: โรคพาร์กินสันเกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อโดปามีนลดลง จะทำให้เกิดอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า และกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง

Q3: อาการสั่นแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

A3: หากอาการสั่นเกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่ดีขึ้นเมื่อพัก หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น เคลื่อนไหวช้า ทรงตัวลำบาก หรือกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางระบบประสาท

Q4: โรคพาร์กินสันรักษาหายขาดได้หรือไม่?

A4: ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคพาร์กินสันให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา กายภาพบำบัด และในบางกรณีอาจใช้การผ่าตัดกระตุ้นสมองส่วนลึก (DBS)

Q5: ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสัน?

A5: ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นพาร์กินสัน หรือเคยได้รับสารพิษทางสิ่งแวดล้อม เช่น ยาฆ่าแมลงบางชนิด มีความเสี่ยงสูงขึ้น

Q6: มีวิธีป้องกันโรคพาร์กินสันหรือไม่?

A6: แม้จะไม่มีวิธีป้องกัน 100% แต่การออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และเลี่ยงสารพิษจากสิ่งแวดล้อม อาจช่วยลดความเสี่ยงได้

Q7: อาการพาร์กินสันในระยะแรกมีอะไรบ้าง?

A7: อาการระยะแรกมักเริ่มจากอาการสั่นเล็กน้อยที่มือหรือแขนข้างเดียว เดินช้าลง สีหน้าดูแข็ง ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ และอาจมีปัญหาการนอนหลับ

Q8: โรคพาร์กินสันเกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมหรือไม่?

A8: ใช่ ผู้ป่วยพาร์กินสันบางรายอาจพัฒนาไปสู่ภาวะสมองเสื่อม เช่น Parkinson’s Disease Dementia (PDD) ได้ในระยะหลังของโรค

Q9: มีวิธีไหนช่วยให้ผู้ป่วยพาร์กินสันใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น?

A9: การทำกายภาพบำบัด ฝึกสมาธิ ใช้เครื่องมือช่วยเดิน และปรับสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่น ติดราวจับในห้องน้ำ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้น

Q10: การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันทำได้อย่างไร?

A10: แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติอาการ การตรวจร่างกายทางระบบประสาท และอาจใช้ MRI หรือ DaTscan เพื่อช่วยแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *