“โรคอ้วน” มักถูกมองว่าเป็นเพียงปัญหาของรูปร่าง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นภาวะทางสุขภาพที่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเราในระยะยาว โรคอ้วนไม่ใช่แค่การมีน้ำหนักเกิน แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังมีไขมันสะสมมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย
ในปัจจุบัน ข้อมูลจากสมาพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ระบุว่า ประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 988 ล้านคนเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน และในประเทศไทย ผู้หญิงไทยถึง 46.4% และผู้ชายไทย 37.8% มีภาวะอ้วนหรือ BMI เกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงจนน่าตกใจ
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ “ภาวะก่อนเป็นโรคอ้วน” หรือ Preclinical Obesity ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มสะสมไขมันเกิน แต่ยังไม่ถึงขั้นที่แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนเต็มตัว การป้องกันและแก้ไขตั้งแต่ช่วงนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และแม้แต่มะเร็ง ได้

อะไรเป็นสาเหตุของโรคอ้วน?
โรคอ้วนเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต พันธุกรรม และปัจจัยทางสุขภาพ มาดูกันว่าปัจจัยหลักๆ มีอะไรบ้าง
1️⃣ พฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุล
- กินอาหารที่มี ไขมันและน้ำตาลสูง เช่น ฟาสต์ฟู้ด ขนมหวาน
- รับประทาน ผักและผลไม้น้อยเกินไป ทำให้ร่างกายขาดไฟเบอร์
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก
2️⃣ ขาดการออกกำลังกาย
การใช้ชีวิตที่ติดมือถือหรือจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป ทำให้ ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง และเกิดไขมันสะสม
3️⃣ นอนหลับไม่เพียงพอ
การนอนดึกหรือพักผ่อนไม่พอ ส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นความหิว (Ghrelin) มากขึ้น ทำให้รู้สึกอยากกินอาหารบ่อยขึ้น
4️⃣ ความเครียดสะสม
ความเครียดส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น
5️⃣ ปัจจัยทางพันธุกรรมและการใช้ยา
บางคนอาจมี ยีนที่ทำให้เกิดภาวะอ้วนง่ายขึ้น หรือได้รับผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาสเตียรอยด์, ยาเบาหวานบางชนิด ที่อาจทำให้น้ำหนักขึ้น

ข้อมูลจากสมาพันธ์โรคอ้วนโลกระบุว่า มีประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 988 ล้านคนกำลังมีปัญหาโรคอ้วน ส่วนในประเทศไทย ข้อมูลผลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายล่าสุด (ปี 2562-2563) โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบว่า ผู้หญิงไทยร้อยละ 46.4 และผู้ชายไทยร้อยละ 37.8 มีภาวะอ้วนหรือมีค่า BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ในขณะที่ผู้ชายไทยร้อยละ 27.7 และร้อยละ 50.4 ในหญิงไทยมีภาวะอ้วนลงพุง หรือมีรอบเอวตั้งแต่ 32 นิ้ว (80 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้หญิง และตั้งแต่ 36 นิ้ว (90 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้ชาย นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้หญิงในกรุงเทพมหานครมีความชุกภาวะอ้วนลงพุงสูงสุด
นายแพทย์ชเนษฎ์ ศรีสุโข โรงพยาบาลศรีสุโข จังหวัดพิจิตร และผู้ก่อตั้งมาลิคลินิกเวชกรรม สีลม
โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข: วัดอย่างไรให้รู้ว่าคุณเสี่ยง?
หลายคนใช้ ค่า BMI (ดัชนีมวลกาย) เป็นตัวชี้วัดโรคอ้วน ซึ่งคำนวณจากน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง
- BMI 18.5 – 22.9 = ปกติ
- BMI 23 – 24.9 = น้ำหนักเกิน
- BMI 25 ขึ้นไป = โรคอ้วน
แต่! ค่า BMI ไม่สามารถบอกปริมาณไขมันในร่างกายได้อย่างแม่นยำ แพทย์จึงแนะนำให้ใช้ ค่าของ Body Fat Percentage หรือ การวัดรอบเอว ร่วมด้วย
- ผู้ชายที่มีรอบเอวเกิน 36 นิ้ว และผู้หญิงที่เกิน 32 นิ้ว ถือว่าเสี่ยงเป็นโรคอ้วน
- การวัดสัดส่วนเอวต่อสะโพก (Waist-to-Hip Ratio) ถ้า ผู้ชายเกิน 1.0 และผู้หญิงเกิน 0.8 ก็ถือว่าอ้วนลงพุง

5 วิธีง่ายๆ ปรับพฤติกรรม ลดความเสี่ยงโรคอ้วน
1. เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- ลดแป้งขัดสี และน้ำตาล
- เน้น โปรตีนจากพืช และเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ
- กินผักผลไม้ให้มากขึ้น
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควรออกกำลังกาย อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- เลือกกิจกรรมที่ทำแล้วสนุก เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือเต้น
3. นอนหลับให้เพียงพอ
- ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
4. ลดความเครียด
- ฝึกทำสมาธิหรือโยคะ
- หาเวลาพักผ่อน ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
5. ปรึกษาแพทย์หากจำเป็น
- หากคุณมีน้ำหนักเกินจนเริ่มส่งผลต่อสุขภาพ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ และรับคำแนะนำที่เหมาะสม

สรุป: โรคอ้วนป้องกันได้ แค่เริ่มต้นใส่ใจสุขภาพตั้งแต่วันนี้
โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นภาวะที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน เช่น การเลือกกินอาหารที่ดีขึ้น การออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพจิต สามารถช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงได้
จำไว้ว่า “สุขภาพดีไม่ได้มาจากความผอม แต่มาจากการดูแลตัวเองให้แข็งแรงและมีความสุข” 💖
FAQs: โรคอ้วน
Q1: โรคอ้วนคืออะไร และต่างจากภาวะน้ำหนักเกินอย่างไร?
A1: โรคอ้วน (Obesity) เป็นภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไปจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ แตกต่างจากภาวะน้ำหนักเกิน (Overweight) ตรงที่โรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังสูงกว่า และต้องการการจัดการที่จริงจังกว่า
Q2: ค่า BMI เท่าไหร่ถึงเรียกว่าเป็นโรคอ้วน?
A2: ค่า BMI ที่มากกว่า 25 ถือว่าเป็นโรคอ้วนในคนเอเชีย โดยมีระดับความรุนแรงดังนี้:
- BMI 23 – 24.9 = น้ำหนักเกิน
- BMI 25 – 29.9 = โรคอ้วนระดับ 1
- BMI 30 ขึ้นไป = โรคอ้วนระดับ 2 (เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนสูง)
Q3: โรคอ้วนมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?
A3: โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2, โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, โรคไขมันพอกตับ, โรคข้อเข่าเสื่อม และมะเร็งบางชนิด
Q4: คนไทยมีอัตราการเป็นโรคอ้วนสูงแค่ไหน?
A4: จากสถิติพบว่า ผู้หญิงไทย 46.4% และผู้ชายไทย 37.8% มีภาวะอ้วน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเขตเมือง
Q5: การวัดรอบเอวสำคัญอย่างไรในการประเมินโรคอ้วน?
A5: การวัดรอบเอวช่วยประเมินภาวะ อ้วนลงพุง (Abdominal Obesity) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน
- ผู้ชาย รอบเอวเกิน 36 นิ้ว ถือว่าเสี่ยง
- ผู้หญิง รอบเอวเกิน 32 นิ้ว ถือว่าเสี่ยง
Q6: พฤติกรรมแบบไหนที่ทำให้เกิดโรคอ้วน?
A6: พฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน ได้แก่
- กินอาหารไขมันและน้ำตาลสูง
- ไม่ออกกำลังกาย
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ความเครียดสูง
- ใช้มือถือและหน้าจอมากเกินไป
Q7: การลดน้ำหนักแบบไหนได้ผลดีที่สุด?
A7: ควรเน้น ปรับพฤติกรรม มากกว่าการลดน้ำหนักแบบหักโหม วิธีที่ได้ผล ได้แก่
- ควบคุมอาหาร ลดแป้งและน้ำตาล
- กิน โปรตีนและผักให้มากขึ้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
- นอนหลับให้เพียงพอ
Q8: โรคอ้วนเกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่?
A8: กรรมพันธุ์มีผลต่อภาวะอ้วนเพียง 30-40% แต่พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
Q9: มีอาหารหรือเครื่องดื่มที่ช่วยลดไขมันสะสมได้ไหม?
A9: อาหารที่ช่วยลดไขมัน ได้แก่ ชาเขียว, อะโวคาโด, ปลาแซลมอน, ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนจากพืช
Q10: ถ้าลองลดน้ำหนักเองแล้วไม่ได้ผล ควรทำอย่างไร?
A10: หากลองปรับพฤติกรรมแล้วยังไม่สามารถลดน้ำหนักได้ แนะนำให้ ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาควบคุมน้ำหนัก หรือการทำศัลยกรรมลดน้ำหนักในกรณีจำเป็น