นโยบายการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่เศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่ยังสั่นคลอนวงการประชาสัมพันธ์และการตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ในยุคที่การสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างภาพลักษณ์องค์กร นักประชาสัมพันธ์จำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึง ผลกระทบของนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ ที่มีต่อวงการประชาสัมพันธ์และการตลาด พร้อมแนะนำกลยุทธ์การปรับตัวสำหรับนักสื่อสารในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
1. ภาพรวมของนโยบายขึ้นภาษี: จุดเริ่มต้นของความปั่นป่วน

นโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ (Trump’s Tariff Policy) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะกับประเทศจีน นโยบายดังกล่าวได้สร้าง “สงครามการค้า” (Trade War) ที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและต้นทุนการผลิต แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก
ผลกระทบหลัก:
• ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น: บริษัทต้องปรับราคาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
• ความไม่แน่นอนในตลาดโลก: นักลงทุนลังเลที่จะขยายธุรกิจใหม่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่มั่นคง
• ความตึงเครียดทางการเมือง: สร้างความกังวลในระดับโลกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สำหรับนักประชาสัมพันธ์และนักการตลาด นี่ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจ แต่เป็น “วิกฤตการสื่อสาร” ที่ต้องจัดการอย่างชาญฉลาด
2. ผลกระทบต่อวงการประชาสัมพันธ์และการตลาด
2.1 ความท้าทายในการจัดการภาพลักษณ์องค์กร
การขึ้นภาษีส่งผลให้หลายบริษัทต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะ เนื่องจากราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักประชาสัมพันธ์จึงต้อง สร้างกลยุทธ์การสื่อสาร ที่สามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจนและลดความตื่นตระหนกของลูกค้า
• การจัดการข่าวเชิงลบ (Crisis Communication): ต้องเตรียมแผนรับมือกับคำถามที่อ่อนไหว เช่น “ทำไมสินค้าราคาแพงขึ้น?” หรือ “บริษัทกำลังหากำไรจากวิกฤตหรือไม่?”
• การสร้างความเชื่อมั่น (Trust Building): การสื่อสารอย่างโปร่งใสและซื่อสัตย์จะช่วยลดความไม่พอใจของลูกค้าได้
2.2 การปรับกลยุทธ์การตลาด
นโยบายขึ้นภาษีทำให้ต้นทุนทางการตลาดสูงขึ้น นักการตลาดจำเป็นต้อง ปรับแผนการใช้จ่าย (Budget Reallocation)และมุ่งเน้นไปที่ การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) ที่มีประสิทธิภาพคุ้มค่า
• การใช้ข้อมูล (Data-Driven Marketing): การวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคอย่างละเอียดจะช่วยให้การลงทุนด้านการตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุด
• การตลาดเน้นคุณค่า (Value-Based Marketing): แทนที่จะเน้นแค่โปรโมชั่นราคา นักการตลาดควรเน้นเรื่อง “คุณค่า” ที่สินค้าหรือบริการสามารถมอบให้แก่ลูกค้าได้
3. บทเรียนสำคัญสำหรับนักประชาสัมพันธ์: กลยุทธ์การสื่อสารในภาวะวิกฤต
3.1 การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situation Analysis)
ก่อนจะสื่อสารใดๆ นักประชาสัมพันธ์ต้องทำความเข้าใจกับ บริบททางเศรษฐกิจและการเมือง ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้การสื่อสารเกิดข้อผิดพลาด
• วิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายขึ้นภาษีต่อองค์กร
• ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
• ประเมินความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ที่อาจเกิดขึ้น
3.2 การสร้างข้อความที่มีประสิทธิภาพ (Effective Messaging)
ข้อความที่สื่อสารออกไปต้อง กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น โดยเน้นถึงความพยายามขององค์กรในการแก้ไขปัญหาและดูแลผลประโยชน์ของลูกค้า
• เน้นความโปร่งใส (Transparency): การบอกความจริงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น
• ใช้โทนเสียงที่เหมาะสม (Tone of Voice): ต้องมีความเห็นอกเห็นใจแต่ไม่ตื่นตระหนก
3.3 การจัดการสื่อ (Media Management)
ในยุคที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย นักประชาสัมพันธ์ต้อง บริหารความสัมพันธ์กับสื่อ และเตรียมแถลงการณ์ที่สามารถตอบคำถามได้อย่างครอบคลุม
• สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักข่าวและสื่อมวลชน
• ติดตามกระแสข่าวเพื่อตอบสนองอย่างรวดเร็ว
4. กรณีศึกษา: การรับมือของแบรนด์ระดับโลก

Apple Inc.: เมื่อเผชิญกับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Apple ใช้กลยุทธ์การสื่อสารที่เน้นถึง คุณภาพและนวัตกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่น แม้ว่าราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ลูกค้ายังรู้สึกว่าคุ้มค่า
Harley-Davidson: แบรนด์มอเตอร์ไซค์ชื่อดังเลือกที่จะ ปรับฐานการผลิต บางส่วนไปยังต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบจากภาษี ซึ่งทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสหรัฐฯ แต่บริษัทก็ใช้กลยุทธ์การสื่อสารที่เน้นถึงความจำเป็นในการปกป้องพนักงานและธุรกิจในระยะยาว
5. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับนักประชาสัมพันธ์
• เตรียมแผนรับมือวิกฤต (Crisis Communication Plan): มีแผนสำรองสำหรับทุกสถานการณ์
• ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด (News Monitoring): รู้ทันสถานการณ์โลกเพื่อปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที
• สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Engagement): การสื่อสารภายในองค์กรก็สำคัญไม่แพ้การสื่อสารกับสาธารณะ
บทสรุป: จากวิกฤตสู่โอกาสในการสร้างความแตกต่าง
แม้ว่า นโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ จะสร้างความปั่นป่วนในระดับโลก แต่สำหรับนักประชาสัมพันธ์และนักการตลาด นี่คือโอกาสในการแสดงศักยภาพในการบริหารจัดการวิกฤต ผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์
การปรับตัวอย่างชาญฉลาดและการสื่อสารที่ตรงจุด คือกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสทางธุรกิจ
เรียบเรียงโดย

สราวุธ บูรพาพัธ
สราวุธ เป็นที่ปรึกษาด้านการสื่อสารให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง มีประสบการณ์ด้านการสื่อสารในธุรกิจพลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจความงาม ธุรกิจบริการ และศูนย์การเรียนรู้ ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติกว่า 20 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนการสื่อสารแบบองค์รวม เพื่อสนับสนุนแผนการตลาดหรือสร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กร รวมทั้ง บริหารจัดการสื่อสารภาวะวิกฤต
จบการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย