ในปี 2025 องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่ซับซ้อนและทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความไม่สงบทางสังคม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเครียดทางจิตใจของพนักงาน หรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ รายงาน Risk Outlook 2025 จาก International SOS เปิดเผยว่า 75% ขององค์กรทั่วโลกมองว่าความไม่สงบทางสังคมเป็นความเสี่ยงอันดับต้นๆ ในขณะที่ 69% คาดการณ์ว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ

ในบริบทนี้ นักสื่อสารองค์กรและนักประชาสัมพันธ์ ต้องเผชิญกับโจทย์สำคัญ นั่นคือ จะช่วยองค์กรบริหารความเสี่ยงด้านข้อมูลและภาพลักษณ์อย่างไร ท่ามกลางกระแสข่าวลวง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นจากพนักงานและสังคม
1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: ผลกระทบต่อการสื่อสารองค์กร
ในปี 2025 74% ของผู้บริหารที่ทำการสำรวจเชื่อว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา ซึ่งรวมถึงปัญหาด้าน ห่วงโซ่อุปทาน ความมั่นคงของข้อมูล และภาพลักษณ์องค์กร
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร:
- สงครามและความขัดแย้งระดับภูมิภาค – ความตึงเครียดในเอเชีย เช่น ปัญหาทะเลจีนใต้ อาจกระทบการดำเนินธุรกิจข้ามพรมแดน นักประชาสัมพันธ์ต้องเตรียมแผนรับมือหากบริษัทต้องออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง
- การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ – องค์กรที่มีการลงทุนในประเทศที่ถูกคว่ำบาตรอาจถูกกดดันให้แสดงจุดยืน ทีมสื่อสารต้องระวังการใช้ภาษาที่เป็นกลาง ไม่เลือกข้าง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์
- ภัยคุกคามทางไซเบอร์จากรัฐมหาอำนาจ – การโจมตีทางไซเบอร์ที่มาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจกระทบข้อมูลภายในองค์กร ทีม PR และนักสื่อสารต้องเตรียมแผน Crisis Communication เพื่อรับมือกับข่าวรั่วไหลหรือแฮ็กข้อมูล
แนวทางการรับมือ:
- มี Crisis Communication Plan พร้อมสำหรับเหตุการณ์ความขัดแย้งระดับโลก
- ใช้ AI และ Data Analytics วิเคราะห์แนวโน้มของข่าวปลอมที่อาจกระทบภาพลักษณ์
- ทำงานร่วมกับ Legal & Compliance เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารทั้งหมดอยู่ในกรอบกฎหมาย
2. ความไม่สงบทางสังคม: แบรนด์ต้องระวังท่าทีของตนเอง
75% ของผู้บริหารเชื่อว่าความไม่สงบทางสังคมจะกระทบธุรกิจในปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การเคลื่อนไหวทางสังคม หรือความขัดแย้งทางวัฒนธรรม
ประเด็นที่องค์กรต้องระวังในการสื่อสาร:
- การสนับสนุนแคมเปญทางสังคมอาจถูกมองว่าเลือกข้าง
- แบรนด์ที่นิ่งเฉยต่อปัญหาสังคม อาจถูกโจมตีว่าไม่รับผิดชอบ
- พนักงานอาจกดดันให้บริษัทแสดงจุดยืนต่อประเด็นทางสังคม
แนวทางการรับมือ:
- วาง CSR Communication Strategy ที่สอดคล้องกับค่านิยมองค์กร
- ใช้ Social Listening วิเคราะห์กระแสสังคมก่อนออกแถลงการณ์
- สื่อสารภายในองค์กรก่อนตัดสินใจเคลื่อนไหวเรื่องใด
3. ความเครียดและภาวะหมดไฟของพนักงาน: PR ต้องเข้ามามีบทบาท
รายงานระบุว่า 78% ของผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าภาวะหมดไฟจะกระทบองค์กรในปี 2025 ซึ่งส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการทำงานและความภักดีต่อองค์กร
- ปัจจัยที่ทำให้พนักงานเครียด:
- ค่าครองชีพสูงขึ้น (75% ของผู้บริหารกังวลเรื่องนี้)
- สภาพแวดล้อมการทำงานที่กดดัน
- ภาวะหมดไฟจากงานที่หนักและไม่มีความสมดุล
แนวทางที่ PR และนักสื่อสารองค์กรควรทำ:
- ใช้ Internal Communication สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นมิตร
- นำเสนอ Wellness Program อย่างมีประสิทธิภาพ
- โปรโมต Work-Life Balance ผ่านกิจกรรมที่สร้างแรงจูงใจให้พนักงาน
4. ข้อมูลเท็จและข่าวปลอม: ความเสี่ยงที่องค์กรต้องป้องกัน
27% ขององค์กรเคยได้รับผลกระทบจากข่าวปลอม และ 32% ไม่แน่ใจว่าตนเองเคยได้รับผลกระทบหรือไม่
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น:
- ข่าวลวงเกี่ยวกับแบรนด์ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดีย
- ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายองค์กรถูกเผยแพร่และสร้างความเข้าใจผิด
- การโจมตีทางดิจิทัลจากกลุ่มที่ไม่หวังดี
แนวทางรับมือ:
- มี Rapid Response Team เพื่อตรวจสอบข่าวลือในโซเชียลมีเดีย
- ใช้ Fact-checking tools และ AI วิเคราะห์ข่าวปลอมก่อนออกมาตรการตอบโต้
- สื่อสารภายในองค์กรให้ชัดเจน เพื่อลดโอกาสเกิดความเข้าใจผิด
สรุป: นักสื่อสารต้องเป็นแนวหน้าในการบริหารความเสี่ยง
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักสื่อสารองค์กรและนักประชาสัมพันธ์ไม่ได้มีหน้าที่แค่กระจายข่าวหรือสร้างภาพลักษณ์อีกต่อไป แต่ต้องเป็น “นักบริหารความเสี่ยงด้านข้อมูลและภาพลักษณ์” ที่ช่วยองค์กรรับมือกับวิกฤตต่างๆ
3 สิ่งที่ต้องทำทันทีในปี 2025
- สร้าง Crisis Communication Plan รองรับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
- พัฒนา Internal Communication เพื่อลดความเครียดและเพิ่มความภักดีของพนักงาน
- ใช้ AI และ Data Analytics ติดตามข่าวปลอมและความเคลื่อนไหวทางสังคม
องค์กรที่มีแนวทางการสื่อสารเชิงรุก จะไม่เพียงอยู่รอดได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ยังสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้อีกด้วย

FAQs : “แบรนด์ต้องรอด! กลยุทธ์สื่อสารองค์กรสู้ 4 ความเสี่ยงใหญ่ปี 2025”
Q1: ทำไมปี 2025 จึงเป็นปีที่องค์กรต้องเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้น?
A1: รายงาน Risk Outlook 2025 ระบุว่า 75% ขององค์กรกังวลเรื่องความไม่สงบทางสังคม และ 69% คาดว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้าน ภาวะหมดไฟของพนักงานและภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ทำให้ปีนี้มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
Q2: นักสื่อสารองค์กรควรรับมือกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไร?
A2: นักสื่อสารองค์กรควรมี Crisis Communication Plan ที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น การคว่ำบาตร การโจมตีทางไซเบอร์ และการเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมทั้งใช้ AI และ Data Analytics เพื่อติดตามแนวโน้มข่าวสารที่อาจกระทบองค์กร
Q3: แบรนด์ควรสื่อสารอย่างไรในช่วงที่มีความไม่สงบทางสังคม?
A3: แบรนด์ต้องระมัดระวังในการออกแถลงการณ์เกี่ยวกับประเด็นสังคม ควรใช้ Social Listening เพื่อติดตามความคิดเห็นของสาธารณะ และเลือกจุดยืนที่สอดคล้องกับค่านิยมองค์กร
Q4: ภาวะหมดไฟของพนักงานส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรอย่างไร?
A4: หากพนักงานมีความเครียดหรือหมดไฟ อาจทำให้ Brand Reputation ขององค์กรได้รับผลกระทบจากการรีวิวเชิงลบหรือการลาออกของพนักงานที่มีความสามารถ องค์กรควรมี Wellness Program และสื่อสารให้พนักงานรับรู้ถึงความใส่ใจของบริษัท
Q5: นักประชาสัมพันธ์สามารถป้องกันข่าวปลอมที่กระทบองค์กรได้อย่างไร
A5: องค์กรควรมี Rapid Response Team เพื่อตรวจสอบข่าวปลอม และใช้ Fact-checking tools วิเคราะห์ข่าวก่อนออกมาตรการตอบโต้ นอกจากนี้ ควรสื่อสารกับพนักงานให้เข้าใจสถานการณ์เพื่อลดความสับสน
Q6: ทำไมองค์กรต้องใช้ Crisis Communication Plan?
A6: แผนการสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Communication Plan) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารกับพนักงาน ลูกค้า และสื่อมวลชนได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่เกิดวิกฤต ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับภาพลักษณ์แบรนด์
Q7: เทคโนโลยีสามารถช่วยนักสื่อสารองค์กรจัดการความเสี่ยงได้อย่างไร?
A7: เทคโนโลยี AI และ Big Data สามารถช่วย วิเคราะห์แนวโน้มข่าวสาร ตรวจจับข่าวปลอม และคาดการณ์สถานการณ์ความเสี่ยง ได้ล่วงหน้า ทำให้องค์กรสามารถเตรียมการสื่อสารได้อย่างแม่นยำ
Q8: นักสื่อสารองค์กรควรมีทักษะอะไรในการรับมือกับความเสี่ยงปี 2025?
A8: ทักษะสำคัญ ได้แก่
- Crisis Communication – การสื่อสารในภาวะวิกฤต
- Reputation Management – การบริหารภาพลักษณ์องค์กร
- Social Listening & Data Analysis – การวิเคราะห์ข้อมูลและติดตามเทรนด์สังคม
- Emotional Intelligence (EQ) – การเข้าใจและจัดการอารมณ์เพื่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Q9: การบริหารความเสี่ยงด้านการสื่อสารส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์อย่างไร?
A9: แบรนด์ที่มีแผนสื่อสารที่ดีจะสามารถ ลดความเสียหายจากข่าวลือ ป้องกันการโจมตีทางสื่อออนไลน์ และสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าและพนักงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
Q10: บทเรียนสำคัญที่นักสื่อสารองค์กรต้องนำไปปรับใช้ในปี 2025 คืออะไร?
A10:
- เตรียม Crisis Communication Plan ให้พร้อม
- ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารและข่าวปลอม
- สื่อสารกับพนักงานและลูกค้าอย่างโปร่งใส
- สร้างแผนสื่อสารที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
เรียบเรียงโดย

สราวุธ บูรพาพัธ
สราวุธ เป็นที่ปรึกษาด้านการสื่อสารให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง มีประสบการณ์ด้านการสื่อสารในธุรกิจพลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจความงาม ธุรกิจบริการ และศูนย์การเรียนรู้ ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติกว่า 20 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนการสื่อสารแบบองค์รวม เพื่อสนับสนุนแผนการตลาดหรือสร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กร รวมทั้ง บริหารจัดการสื่อสารภาวะวิกฤต
จบการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย