ในโลกที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไวเหมือนติดจรวด ปัญหาสุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้ามอีกต่อไป ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเป็นแค่เรื่องส่วนตัว แต่ยังเกี่ยวโยงกับสังคมและวัฒนธรรมรอบ ๆ ตัวเราด้วย! ปี 2566 ที่ผ่านมา มีคนไทยมาปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตถึง 2.9 ล้านคน คิดดูสิว่ามีอีกกี่คนที่อาจจะรู้สึกแย่แต่ยังไม่ได้มาขอความช่วยเหลือ
กรมสุขภาพจิตร่วมกับแพลตฟอร์ม DXT360 ได้สำรวจความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย เพื่อดูว่าคนไทยคิดยังไงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะช่วงวันที่ 1 กันยายน – 4 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เขาบอกว่า 61% ของคนใช้โซเชียลเป็นพื้นที่ระบายความรู้สึก มีทั้งการแสดงออกในด้านบวกและลบ แต่ที่น่าสนใจคือ มีอีก 22% ที่แชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตของตัวเองหรือของคนใกล้ชิด
โซเชียลมีเดียกับการระบายความรู้สึก
การใช้งานโซเชียลมีเดียในไทยกลายเป็นพื้นที่เปิดสำหรับการระบาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่าปัญหาการทำงาน ความเครียดจากการเรียน หรือแม้กระทั่งปัญหาครอบครัว เราพบว่าปัญหาการทำงานเป็นสาเหตุที่ส่งผลกระทบมากที่สุดถึง 30%! ทั้งเรื่องการทำงานที่ไม่สมดุลกับชีวิตส่วนตัว หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมที่มีความกดดัน แต่ที่พีคสุดคือ มีคนบอกว่าถ้าทนไม่ไหวก็ลาออกดีกว่า
นอกจากนี้ ปัญหา Over information หรือการรับรู้ข้อมูลมากเกินไปยังเป็นอีกสาเหตุที่พบถึง 18% เพราะว่าทุกวันนี้เราถูกระเบิดข้อมูลจากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไอดอล ข่าวดราม่าต่าง ๆ ที่อาจทำให้หลายคนรู้สึกเครียดโดยไม่รู้ตัว
ปัญหาที่เราควบคุมได้: ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตก็มาจากภายในตัวเราเอง เช่น ปัญหาด้านสุขภาพกายถึง 42% ความรู้สึกต่อคุณค่าในตัวเอง (Self-Esteem) 28% และความคาดหวังในตนเองที่ 23% หลายคนอาจตั้งเป้าหมายสูง แต่เมื่อไม่เป็นไปตามที่หวังก็จะรู้สึกท้อแท้ ที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องของการมองเห็นคุณค่าในตนเองที่เชื่อมโยงกับสุขภาพจิต หากเราสามารถหาวิธีปรับมุมมองและมีทัศนคติที่ดีขึ้น อาจทำให้สุขภาพจิตเราดีขึ้นได้
วิธีฮีลใจในแบบของคนโซเชียล
การดูแลสุขภาพจิตของคนในปัจจุบันมีหลายแบบ เช่น การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจผ่านการออกกำลังกาย การดูหนังซีรีส์ หรือแม้แต่การทำ Social Detox เพื่อลดการใช้งานโซเชียลมีเดีย หรืออีกทางเลือกที่น่าสนใจคือ Pet Therapy การใช้สัตว์เลี้ยงมาช่วยสร้างความสุขและลดความเครียด
การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมหรือการออกไปท่องเที่ยวก็เป็นวิธีที่คนโซเชียลเลือกใช้ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หรือจะเป็นการเขียนระบายความรู้สึกลงในกระดาษ พูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวก็ดี เพราะไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตาม ขอแค่เรารู้สึกดีขึ้นและมีพลังกลับมาสู้ต่อ
การปรึกษาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องต้องอาย
ที่เห็นได้ชัดเจนคือคนเริ่มเปิดใจรับการปรึกษาจิตแพทย์หรือจิตบำบัดมากขึ้น และมีแนวโน้มการยอมรับการรักษาทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยหรือการใช้ยา ทุกวันนี้การดูแลสุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกับการดูแลสุขภาพร่างกายทั่วไป ในอนาคต เราอาจเห็นบริการสุขภาพจิตเติบโตขึ้นเป็นธุรกิจที่สำคัญอีกหนึ่งธุรกิจได้
ด้วยการสำรวจครั้งนี้ เราเห็นได้ว่าผู้คนในสังคมไทยเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิตมากขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการอยู่คนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถพูดคุย แชร์ประสบการณ์ และให้กำลังใจกันได้ ในวันที่ท้าทายและเต็มไปด้วยความกดดัน สุขภาพจิตที่ดีอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เราก้าวผ่านไปได้อย่างมีพลัง